ปัญหาส่วนหนึ่งของการแปลงไฟล์ในปัจจุบัน คือ เวลาในที่ใช้ในการแปลงไฟล์ไม่คุ้มกับงานที่ได้ออกมา
ขอยกตัวอย่างที่สามัญ พอจะให้เห็นภาพกัน
ถ้าคุณมีโทรศัพท์มือถือ หรือเครื่องเล่นพกพา แล้วต้องการแปลงไฟล์วิดีโอมาดูในเครื่อง การตั้งค่าในแปลงไฟล์ควรตั้งอย่างไร
บางคนบอกว่า ตั้งให้บิตเรทสูงๆ
บางคนบอกว่า ตั้งให้ความละเอียดภาพสูงๆ
บางคนบอกว่า จะตั้งไปทำไม คลิกๆ ตามค่ามาตรฐานของโปรแกรมก็สิ้นเรื่อง
ซึ่งอันที่จริงแล้วการแปลงไฟล์สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องเรียนรู้จักและใช้ประโยชน์จากแรงทั้ง 3 อันเป็นมวลพื้นฐานของทุกสรรพสิ่งที่เกี่ยวพันกับการแปลงไฟล์เสียก่อน
แรงตัวแรกสุด คือค่าบิตเรท
เมื่อคุณเริ่มแปลงไฟล์ค่าบิตเรทจะเริ่มส่งผลให้เห็นมากที่สุด ในระยะบิตเรทที่จุดวิกฤตของเครื่องเล่นนั้นๆ
เช่น ถ้าคุณตั้งค่าบิตเรทของไฟล์วิดีโอไว้ที่ 300K เพื่อแปลงไฟล์ลงมือถือ ภาพจะดูไม่สวย อาจถึงขั้นเละเทะเป็นเหลี่ยมๆ แต่พอเพิ่มค่าบิตเรทไปที่ 400K ภาพที่ได้สวยขึ้นจนเห็นชัดเจน และเมื่อเพิ่มไปอีก เป็น 600K ภาพก็สวยจนเหมือนต้นฉบับ (ในเวลาที่ดูจากหน้าจอเล็กๆ ของมือถือ) แต่เมื่อเพิ่มเป็น 900K ภาพไม่แตกต่างจาก 600K หรือมองไม่ออกเลยว่ามันดีกว่ากันตรงไหน
ดังนั้น เราจึงรู้ว่ามือถือเครื่องนี้มีจุดรองรับความคมชัดที่ค่าบิตเรท 600K
ถ้าใส่ค่าบิตเรทให้สูงกว่านี้ ไฟล์ที่แปลงออกมาจะมีขนาดใหญ่ และใช้เวลาในการแปลงมากขึ้น
แรงตัวที่สอง คือ ขนาดของภาพ
ตัวอย่างแรกที่ยกไปนั้นคือค่าบิตเรทที่ 600K จะให้ภาพที่สวยที่สุดสำหรับมือถือ(สมมุติ) หากคุณอยากจะให้ภาพสวยขึ้นไปอีก มีความคมชัดมากขึ้น แรงตัวที่สองก็มีส่วนในตรงนี้ สำหรับผลักระดับความคมชัดให้มากขึ้น อย่างถ้ามือถือมีความละเอียดการแสดงผลสูงสุดที่รับได้คือ 640 x 480 พิกเซล ค่าคมชัดที่สุดสำหรับมือถือเครื่องนี้คือ 640 x 480 (ในทางทฤษฏี) แต่ในความเป็นจริงแล้ว ด้วยขนาดหน้าจอที่เล็ก การตั้งค่าภาพให้เล็กลงกว่าขนาดการแสดงผลสูงสุดที่รับได้ เช่น ตั้งไปที่ 320 x 240 จะทำให้ค่าบิตเรทเดิมมีความหมายมากยิ่งขึ้น คือบรรจุข้อมูลต่อพื้นที่ได้มากขึ้น รายละเอียดของภาพจึงดีกว่า(สีอาจจะสดกว่าในบางเครื่อง)
หรือว่าทำในทางกลับกันคือ ถ้าคุณตั้งขนาดของภาพที่จะแปลงมีขนาดเล็กกว่าอัตราการแสดงผลสูงสุด ลองปรับให้ใกล้เคียงดู แล้วเทียบความแตกต่าง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรทำคือลองปรับขนาดให้เล็กลง(อย่าเล็กมากกว่าเกิน เพราะภาพจะเบลอ) เพื่อดูว่ามีความแตกต่างจากภาพที่มีความละเอียดสูงหรือไม่ ถ้าไม่แตกต่าง ก็ใช้ขนาดที่ของภาพที่เล็กลงจะดีกว่า เพราะ ทำให้การแปลงไฟล์ใช้เวลาเร็วขึ้น
แรงสุดท้าย Codec
ในมือถือหลายรุ่น มักจะสนับสนุน Codec ในการแปลงไฟล์หลายแบบ หรือในบางเครื่องเล่น เช่น ipod สนับสนุนทั้ง MPEG-4 และ H.264 ข้อแตกต่างระหว่าง Codec สองอันนี้คือ
MPEG-4 แปลงไฟล์ได้เร็วกว่า แต่ในระดับบิตเรทเท่ากัน ภาพสวยน้อยกว่า H.264
H.264 แปลงไฟล์ได้ช้ากว่า แต่ในระดับบิตเรทเท่ากัน ภาพสวยกว่า MPEG-4
และผลกระทบที่ตามมาก็คือ ยิ่งใช้ค่าบิตเรทมาก ไฟล์ยิ่งมีขนาดใหญ่ ในมุมมองนี้เราอาจจะพอบอกได้ว่า H.264 ดีกว่า แต่ในความเป็นจริง บางครั้งเราก็แปลงไฟล์วิดีโอหลายๆ ไฟล์พร้อมกัน หรือแปลงภาพยนตร์ทั้งเรื่อง การใช้ Codec ของ MPEG-4 จะช่วยลดระยะเวลาการแปลงไฟล์ลง แม้ว่าจะสวยน้อยกว่าก็ตาม
สรุป
คุณต้องลองหลายๆ แบบ ลองตั้งค่าบิตเรท ตั้งค่าขนาดของภาพ เลือก Codec หาสิ่งทีต้องการให้พบ แล้วก็ยึดมันเอาไว้ เพราะเครื่องเล่นพกพาแต่ละเครื่องใช้การตั้งค่าไม่เหมือนกัน และคนแต่ละคนก็ชอบไม่เหมือนกัน
สำหรับท่านที่อ่านแล้วเกิดความเข้าใจ บางทีการใช้ค่ามาตรฐานของโปรแกรมแปลงไฟล์ คลิกๆ ไปแล้วก็นั่งรอ อาจเป็นสุขกว่านี้ก็ได้ ใครจะรู้
Apr 29, 2008
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
0 comments:
Post a Comment
ส่วนนี้สำหรับแสดงความคิดเห็นทั่วไป สอบถามปัญหาตั้งถามได้ที่ฟอรั่ม
>>> [โปรดอ่าน] เนื่องจาก บทความการใช้งานบางโปรแกรมได้โฟสไปนานแล้ว
โปรแกรมอาจมีการอัปเดท วิธีการใช้งาน อาจใช้ไม่ได้ หรือมีวิธีที่ง่ายกว่าในเวอร์ชั่นใหม่
หากคุณพบว่าวิธีการใช้งานไม่ตรงกับบทความในบล็อกนี้ สามารถแนะนำเพิ่มเติมได้ครับ